ปรึกษากฎหมายฟรี
นิติกรรมอำพราง: บทเรียนจากคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๓๗/๒๕๖๖ เมื่อ "ขายฝาก" เป็นเพียงฉากบังหน้าการ "กู้ยืม"
ในแวดวงธุรกิจและการทำธุรกรรมที่ดิน ปัญหาทางกฎหมายที่พบบ่อยครั้งคือการทำสัญญาที่ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนี้ที่มักนิยมทำ "สัญญาขายฝาก" แทน "สัญญากู้ยืม" เพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนการบังคับจำนองและเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทันทีหากลูกหนี้ผิดนัด อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๓๗/๒๕๖๖ ได้วางบรรทัดฐานที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติการณ์ที่ศาลถือว่าเป็น "เจตนาลวง" และผลทางกฎหมายที่ตามมา
ข้อเท็จจริงในคดี: จาก "กู้ยืม" กลายเป็น "ขายฝาก"
คดีนี้เริ่มต้นจากการที่จำเลยต้องการขอกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเริ่มแรกโจทก์ได้เตรียมสัญญากู้ยืมเงินไว้ โดยให้นาย พ. เป็นผู้กู้และนำโฉนดที่ดินมาเป็นประกัน แต่ในระหว่างขั้นตอนการทำสัญญา โจทก์ได้เปลี่ยนใจหลังจากปรึกษากับผู้ร่วมลงทุน โดยยกเลิกการทำสัญญากู้ยืมฉบับเดิมและคืนสัญญาให้ลูกหนี้ไป
ต่อมา เพื่อให้ฝ่ายลูกหนี้ได้รับเงินตามที่ต้องการ โจทก์และผู้ร่วมลงทุนจึงตกลงเปลี่ยนรูปแบบสัญญาใหม่เป็นการ "รับซื้อฝากที่ดิน" ในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เท่ากับยอดที่จะกู้) มีกำหนดไถ่ถอน ๑ ปี โดยในสัญญาขายฝากระบุว่า "ไม่คิดดอกเบี้ย"
พฤติการณ์พิรุธ: สัญญาณบ่งชี้เจตนาลวง
แม้เอกสารทางราชการจะระบุว่าเป็น "สัญญาขายฝาก" แต่ศาลฎีกาได้พิจารณาพฤติการณ์แวดล้อมและพบ "พิรุธ" หลายประการที่ชี้ให้เห็นว่า เจตนาที่แท้จริงไม่ใช่การขายฝาก แต่เป็นการกู้ยืมเงิน ดังนี้:
1. ราคาขายฝากเท่ากับยอดหนี้เงินกู้: ยอดเงินที่ทำสัญญาขายฝากคือ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตรงกับจำนวนเงินที่นาย พ. ขอกู้ยืมแต่แรก
2. เงื่อนไข "ไม่คิดดอกเบี้ย" ขัดต่อวิสัยนักลงทุน: โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจปล่อยกู้และลงทุน แต่กลับทำสัญญาขายฝากโดยไม่คิดสินไถ่หรือดอกเบี้ย ซึ่งแสดงว่าหากมีการมาไถ่คืน โจทก์จะไม่ได้กำไรอะไรเลย ซึ่งผิดวิสัยของการทำธุรกิจ
3. ภาระค่าธรรมเนียมที่เกินความจำเป็น: โจทก์ยอมออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการขายฝากคนละครึ่งกับนาย พ. เป็นเงินกว่า ๑๗๑,๘๓๑ บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงและผิดวิสัยของผู้รับซื้อฝากที่อ้างว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) จากการรับซื้อฝากนั้น
4. ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยนอกสัญญา: แม้ในสัญญาขายฝากจะระบุว่าไม่คิดดอกเบี้ย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีข้อตกลงวาจากันว่า หากไถ่ถอนหลังจาก ๕-๖ เดือน จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี พฤติการณ์นี้แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่ามีการคิดดอกเบี้ยกันจริงในลักษณะของการกู้ยืมเงิน
คำวินิจฉัยของศาล: นิติกรรมอำพรางและผลทางกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวชี้ชัดว่าโจทก์และนาย พ. ยังคงยึดถือข้อตกลงตาม "สัญญากู้ยืมเงิน" ที่เคยเจรจากันไว้แต่ต้น หาได้มีเจตนาทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกันจริงไม่
ดังนั้น ผลทางกฎหมายคือ:
สัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะ: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง เนื่องจากการแสดงเจตนาทำสัญญาขายฝากเป็น "เจตนาลวง" โดยสมรู้กันเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น
ต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพราง: กฎหมายให้นำบทบัญญัติของนิติกรรมที่ถูกอำพราง (ในที่นี้คือ "สัญญากู้ยืมเงิน") มาใช้บังคับ
ผลต่อกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เมื่อสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ โจทก์จึง "ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์" ในที่ดินพิพาท และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโดยอ้างสิทธิตามสัญญาขายฝากนั้นได้
บทสรุป
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๓๗/๒๕๖๖ เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญสำหรับเจ้าหนี้และนักลงทุนว่า "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" แม้จะมีการทำเอกสารสัญญาขายฝากถูกต้องตามรูปแบบราชการ แต่หากพฤติการณ์แวดล้อม—เช่น การกำหนดราคา, การจ่ายค่าธรรมเนียม, หรือการตกลงเรื่องดอกเบี้ย—ขัดแย้งกับธรรมชาติของการขายฝาก ศาลอาจมองว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ซึ่งจะส่งผลให้สัญญาขายฝากนั้นตกเป็นโมฆะ และเจ้าหนี้อาจเสียสิทธิในการอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นทันที